วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Chapter 7 - SCM, ERP, CRM

Supply Chain Management (SCM)

          ระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครื่อข่ายตั้งแต่ suppliers, manufacturers, distributors  เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ

Supply Chain Illustration





ขั้นตอนการวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน

          การกําเนิดระบบการบริหารซัพพลายเชนกล่าวกันว่ามีต้นแบบมาจากการส่งลําเลียงเสบียงอาหารฃและอาวุธยุโธปกรณ์ตามระบบส่งกําลังบํารุงของทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามที่ต้องการความมั่นใจว่าอาวุธและเสบียงอาหารจะต้องจัดส่งให้เพียงพอกับความต้องการและไปยังสถานที่ ที่กําหนดอย่างถูกต้องตรงเวลา เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด จึงจําเป็นต้องอาศัยการ
วางแผนจัดลําดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที่รวดเร็วและแม่นยํา
          ซึ่งต่อมาแนวความคิดดังกล่าวได้นํามาพัฒนาและดัดแปลงให้กับธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึงพอใจแก่ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ลดลง โดย Helen Peek และคณะได้
กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน (The Baseline Organization)


          เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้ งเดิมที่ต้องการสร้างผลกําไรสูงสุดขององค์กร โดยเน้นความชํานาญในการทํางานของแต่ละแผนก/ฝ่ายซึ่งองค์กรในรูปแบบนี้อาจไม่สามารถปรับแผนการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดของผู้บริโภคเนื่องจากแต่ละแผนก/ฝ่ายต่างทํางานเป็นอิสระต่อกันไม่เกี่ยวกัน

ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน (The Functionally Integrated Company)


          ในระยะนี้ องค์กรจะเริ่มจัดตั้ งเป็นบริษัท โดยในองค์กรได้มีการรวบรวมหน้าที่/ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงาน/ฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากกันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก เช่น ฝ่ายจัดการวัตถุดิบมีหน้าที่จัดซื อ จัดสรร ควบคุมการใช้วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตอื่นๆ ฝ่ายการผลิตมีหน้าที่วางแผนการผลิต และควบคุมคุณภาพการผลิต และฝ่ายขายมีหน้าที่วางแผนการตลาดและขายสินค้า เป็นต้น

ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน (The Internally Integrated Company)


          ในระยะนี้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทําให้มีการติดต่อประสานงานเชื่่อมโนงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้ น การทํางานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่ นอกจากนั นกิจกรรมการผลิตบางอย่างยังสามารถที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในองค์กรได้ด้วย ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระดับหนึ่ง

ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน (The Externally Integrated Company)


          ระยะนี้เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพพลายเชนอย่างเต็มตัว โดยบริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารแบบซัพพลายเชนภายในบริษัทของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว และเริ่มหันมาให้ความสําคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก โดยเข้าไปทํางานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทํางานเดียวกัน เพื'อควบคุมคุณภาพการผลิตวัตถุดิบ คุณลักษณะของวัตถุดิบและวิธีการผลิตวัตถุดิบในโรงงานของซัพพลายเออร์และในบางกรณีบริษัทผู้ผลิตอาจเปิดโอกาสซัพพลายเออร์เข้ามาเปิดสถานี หรือโรงงานย่อย เพื่อนําส่งวัตถุดิบให้กับริษัทได้อย่างสะดวก รวดเร็วและประหยัดต้นทุน

การบริหารจัดการซัพพลายเชน 

พิจารณาความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม suppliers (Supply-management interface capabilities)
2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า (Demand-management interface capabilities)
3. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ (Information management capabilities)
ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
1. ปัญหาจากการพยากรณ์
2. ปัญหาในกระบวนการผลิต
3. ปัญหาด้านคุณภาพ
4. ปัญหาในการส่งมอบสินค้า
5. ปัญหาด้านสารสนเทศ
6. ปัญหาจากลูกค้า

Bullwhip Effect


ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) หรือในบางครั้งเรียกว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
(e-Commerce)  เป็นการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการทางธุรกิจและการดําเนินงานระหว่างธุรกิจกับธุรกิจและระหว่างบุคคลกับธุรกิจ ในธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) จะมีการทําธุรกรรมผ่านสื่อต่างๆ ทางอิเล็กส์ทรอนิกส์ เช่น การสั่งซื อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ

การใช้บาร์โค้ด (Bar code) บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปของแท่งบาร์ โดยจะประกอบไปด้วยบาร์ที่มีสีเข้มและช่องว่างสีอ่อน ซึ่งบาร์เหล่านี้ จะเป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง Scanner  บาร์โค้ดจึงทําหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของสินค้า อาทิ หมายเลขของสินค้า ครั้งที่ทําการผลิต เลขหมายเรียงลําดับกล่องเพื่อการขนส่ง ปริมาณสินค้าที่ผลิต รวมถึงตําแหน่งผู้รับสินค้า เป็นต้น เพื่อให้สามารถควบคุมการหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ การจัดเก็บและการจ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบันและที่สําคัญการติดบาร์โค้ดถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เกิดการจัดการซัพพลายเชน ลดระยะเวลาและความซํ าซ้อนในการทํางาน



การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI : Electronic Data Interchange) เป็นเทคโนโลยีอีกประการหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจัดการซัพพลายเชน เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบข่าวสารข้อมูลนั้นจะมีการจัดรูปแบบและมีความเป็นมาตรฐานเดียวกันตามที่ได้ตกลงกันไว้ เรียกว่า EDI Message ผ่านเครือข่ายการสื่่อสาร (Telecommunication Network) ทําให้เพิ่มความถูกต้องและรวดเร็วในการทํางาน

การใช้ซอฟแวร์ Application SCM การนําซอฟแวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นซอฟแวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้ งหมด ทําหน้าที่ประสานงานหลักๆ ในด้านต่างๆ เช่น การเงิน การผลิต และการจัดคลังสินค้า
        Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิต ใช้เงื่อนไขข้อจํากัดและกฎเกณฑ์ทางธุรกิจในการปรับตารางให้ดีที่สุด
       Inventory Planning วางแผนคลังสินค้าที่จําเป็นในแต่ละจุดเพื่อกระจายการจัดส่ง เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาด
       Customer Asset Management ใช้สําหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้ารวมทั้งระบบขายอัตโนมัติและการให้บริการลูกค้า เป็นต้น
       ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตระบบ ERP หลักๆ มีอยู่ 5 รายด้วยกัน คือ SAP, ORACLE, Peoplesoft, J.D. Edwards และ Baan


ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เป็นเทคโนโลยีบริหารกระบวนการธุรกิจโดยเฉพาะการเชื่อมโยง SCM โดยเน้นการบูรณาการกระบวนการหลักของธุรกิจเพื่อสนับสนุนการดําเนินธุรกรรมประจําวัน และยังสนับสนุนกระบวนการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM)

ระบบ CRM (Customer Relationship Management) เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งที่องค์กรนํามาใช้เพื่อบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้ากับองค์กรตลอดวงจรชีวิตการเป็นลูกค้า ได้แก่ การตลาด การขาย การให้บริการ และการสนับสนุน โดยใช้ทรัพยากรด้านสารสนเทศ กระบวนการ เทคโนโลยี และบุคลากร โดยเน้นการสร้างประสานสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ demain chain management  ผ่านการจัดโปรแกรมเพื่อจูงใจลูกค้า เช่น การสะสมคะแนน การให้บริการตอบคําถาม (call center)  การให้สิทธิประโยชน์ หรือส่วนลดต่างๆ เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Chapter 6 - Supply chain management

การจัดการกลุ่มของกิจกรรมงาน กล่าวคือ ตั้ งแต่การรับวัตถุดิบมาจาก Supplies แล้วเปลี่ยนวัตถุดิบนั นให้เป็นสินค้าขั นกลาง และสินค้าขั้นสุดท้าย จนกระทั่งจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า


สิ่งที่จะทําให้เข้าใจถึงหน้าที่ของการผลิตและวิธีการควบคุมการผลิตนั้ น เราจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในกระบวนการผลิตอยู่  2 สิ่งหลักๆ คือ
  • วัตถุดิบ (Materials)
  • สารสนเทศ (Information)



ปัญหาคือความสนใจที่แตกต่างกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น
  • ลูกค้ามักต้องการสินค้าที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบและมีราคาถูก
  • พนักงานในสายการผลิตอยากรู้คําสั่งที่ถูกต้อง
  • ฝ่ายจัดซื อต้องการได้วัตถุดิบที่ถูกต้อง มีคุณภาพ
  • ผู้จําหน่ายวัตถุดิบต้องการคําสั่งซื อที่ถูกต้องเพื่อจะได้จัดส่งได้ถูกต้อง
  • ผู้จัดการต้องการรายงานที่ถูกต้อง





ประโยชน์ของการทํา SCM


  • การเคลื่อนไหลของวัตถุดิบและสารสนเทศเป็นไปอย่างราบรื่น
  • ปรับปรุงระดับของสินค้าคงเหลือ
  • เพิ่มความเร็วได้มากขึ น
  • ขจัดความสิ นเปลืองหรือความสูญเปล่าต่างๆ ในกระบวนการทางธุรกิจให้หมดไปได้
  • ลดต้นทุนในกิจกรรมต่างๆ ได้
  • ปรับปรุงการบริการลูกค้า

การบูรณาการในห่วงโซ่ อุปทาน (Supply Chain Integration)

  • การบูรณาการกระบวนการภายในทางธุรกิจให้เป็นแบบไร้รอยตะเข็บ ไร้ความสูญเสีย  และมีความยืดหยุ่น ใช้นโยบายการทํางานแบบข้ามสายงาน ลดกระบวนการและขั นตอนการทํางานทีไม่จําเป็น
  • การบูรณาการกับกระบวนการภายนอก  นั่นคือบูรณาการกับกระบวนการของลูกค้าที่สําคัญและผู้จัดหาวัตถุดิบที่สําคัญให้เข้ากั บกระบวนการภายในของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ และไร้รอยตะเข็บ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างยืดหยุ่น และ รวดเร็ว ขณะที่ต้นทุนลดต่ำลง
  • การบูรณาการทางเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ  เพื่อให้การแลกเปลี่ยนและประสานข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรและระหว่างองค์กรเป็นไปอย่าง ถูกต้องรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีที่นิยมใช้กั นได้แก่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-bussiness) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange-EDI) การส่งจดหมายทางเล็กทรอนิกส์ (E-Mail)บาร์โค้ด (Bar Code) การชี บ่งตําแหน่งด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Identification RFID) อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต ซอฟท์แวร์การวางแผนทรัพยากรวิสาหกิจ (Enterprise Resource Planning-ERP) เป็นต้น

การนําระบบสารสนเทศไปใช้ในการจัดการด้าน Supply Chain

          Supply Chain Managementคือ การจัดการเชื่อมกิจกรรมต่างๆ ที่สัมพันธ์กันระหว่างผู้ผลิต (Supplier)  ผู้จัดจำหน่าย (Distributor) และลูกค้า (Customer) กลยุทธ์ทางด้าน Supply  Chain นั้นได้แก่ ความพยายามที่จะผูกลูกค้า ผู้ผลิต หรือผู้จัดจําหน่ ายกับธุรกิจ เรียกว่า Lock-in Customers หรือ Lock-in Suppliers เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไปทําธุรกิจกับผู้อื่น (Switching Cost) มีสูงขึ้น

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Chapter 5 : E-Commerce

ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Business)

  • ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Business) คือกระบวนการดําเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยี เครือข่ายที่เรียกว่าองค์การเครือข่ายร่วม (Internetworked  Network)  ไม่ว่าจะเป็นการพาณิชย์อิ เล็กทรอนิกส์ (Electronic  Commerce) การติดต์อสื่อสารและการทํางานร์วมกัน หรือแม้แต่ระบบธุรกิจภายในองค์กร

การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce)

  • พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดําเนินธุรกิจ โดยใช์สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999)
  • พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่ง ผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998)
  • พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทําธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวล และการส่งข้อมูลที่มี ข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขายสินค้า และบริ การด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์, การขนส่งผลิ ตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลในระบบออนไลน์, การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์, การจํานวยหุ่นทางอิเล็กทรอนิกส์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน, การจัดซื้อจัดจ่างของภาครัฐ, การขายตรง, การให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ใช้กับสินค้า (เช่น สินค้าบริโภค, อุปกรณ์ทางการแพทย์) และบริการ (เช่น บริการขายข้อมูล, บริการด่านการเงิน, บริการด้าน กฎหมาย) รวมทั้งกิจการทั่วไป (เช่น สาธารณสุข, การศึ กษา, ศูนย์การค้าเสมือน (Virtual Mall) (European union,1997)

สรุป

          พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) คือ การทําธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิ เล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค้าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทําเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนําสินค้า พนักงานต้อนรับลูกคา เป็นต้น จึงลดข้อจํากัดของระยะทาง และ เวลาลงได้


การประยุกต์ใช้ (E-commerce Application)

  • การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Retailing)
  • การโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Advertisement)
  • การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auctions)
  • การบริการอิเล็กทรอนิกส์(E-Service)
  • รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government)
  • การพาณิชย์ผ่านระบบโทรศัพทเคลื่อนที่ (M-Commerce : Mobile Commerce)

โครงสร้างพื้นฐาน (E-Commerce Infrastructure)

องค์ประกอบหลักสําคัญด้านเทคโนโลยีพื้นฐาน ที่จะนํามาใช้เพื่อการพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนได้แก่
  1. ระบบเครือข่าย(Network)
  2. ช่องทางการติดต่อสื่อสาร  (Chanel Of Communication)
  3. การจัดรูปแบบและการเผยแพร่เนื้อหา (Format & Content Publishing)
  4. การรักษาความปลอดภัย (Security)

การสนับสนุน (E-Commerce Supporting)

  1. การพัฒนาระบบงาน E-Commerce Application Development
  2. การวางแผนกลยุทธ์ E-Commerce Strategy
  3. กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce Law
  4. การจดทะเบียนโดเมนเนม Domain Name Registration
  5. การโปรโมทเว็บไซต์ Website Promotion

การจัดการการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


Brick –and –Mortar Organization
     Old-economy organizations (corporations) that perform most 
     of their business off-line ,selling physical product by means 
     of physical agent.
Virtual Organization
     Organization that conduct their business activities solely online.
Click –and –Mortar Organization
     Organization that conduct some e-commerce activities , but do their primary business in the physical world.

ประเภทของ E-Commerce

กลุ่มธุรกิจที่ค้ากําไร (Profits Organization)
  1. Business-to-Business (B2B)
  2. Business-to-Customer (B2C)
  3. Business-to-Business-to-Customer (B2B2C)
  4. Customer-to-Customer (C2C)
  5. Customer-to-Business (C2B)
  6. Mobile Commerce
กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากําไร (Non-Profit Organization)
  1. Intrabusiness (Organization) E-Commerce
  2. Business-to-Employee (B2E)
  3. Government-to-Citizen (G2C)
  4. Collaborative Commerce (C-Commerce)
  5. Exchange-to-Exchange (E2E)
  6. E-Learning

ธุรกิจที่หารายได้จากค่าสมาชิก

            ตัวอย่าง  ได้แก่ AOL (ธุรกิจ ISP) , Wall  Street  Journal (หนังสือพิมพ์) , JobsDB.com (ข้อมูลตลาดงาน)  ธุรกิจในกลุ่มนี้เป็นธุรกิจที่ได้กำไรแล้วเนื่องจากรายได้จากค่าสมาชิกเป็นรายได้ที่มีความมั่นคงกว่ารายได้จากแหล่งอื่น  ปัจจัยในความสำเร็จของธุรกิจที่จะสามารถหารายได้จากค่าสมาชิธุรกิจ 

ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน

            ได้แก่  Consonus (ธุรกิจศูนย์ข้อมูล และ ASP) , Pay  Pal (ธุรกิจชำระเงินออนไลน์) และ FedEx (บริการจัดส่งพัสดุ)  ปัจจัยในความสำเร็จของธุรกิจในกลุ่มนี้จะขึ้นอยู่กับการขยายตัวของตลาด
 E-Commerce  หากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขยายตัวและมีผู้ประกอบการ E-Commerce มากรายได้ของธุรกิจเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น

ธุรกิจค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์

             ได้แก่ Amazon (หนังสือ) , 7dream (ของชำ) , EthioGift (ของขวัญวันเทศกาลของเอธิโดเปีย)  รายได้หลักของธุรกิจค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์มาจากการจำหน่ายสินค้า  การประกอบการโดยไม่ต้องมีร้านค้าทางกายภาพจะช่วยให้ตนมีต้นทุนที่ต่ำ และสามารถขายสินค้าให้แก่ ลูกค้าในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งขัน

ธุรกิจที่หารายได้จากโฆษณา

             ธุรกิจ E-Commerce  ที่หวังรายได้จากการโฆษณาซบเซาลงไปมาก  เนื่องจากการเข้าสู้ตลาดดังกล่าวทำได้ง่าย  ปัจจัยในความสำเร็จของธุรกิจในกลุ่มนี้จึงได้แก่การสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากธุรกิจในแนวเดียวกัน  ตัวอย่างของธุรกิจที่หารายได้จากการโฆษณาที่ยังคงสามารถทำกำไรได้ คือ Yahoo!  ธุรกิจที่หารายได้จากการแนะนำลูกค้าให้แก่เว็บไซต์อื่นๆซึ้งคล้ายกับการหารายได้จากค่าโฆษณา

บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์

             ตัวอย่าง  ได้แก่  MERX (การให้ข้อมูลการประกวดราคาของโครงการรัฐบาล) , Buyes.Gov  (การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ) และ eCitizen (การให้บริการของรัฐแก่ประชาชน)  การบริการในกลุ่มนี้มักมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและธุรกิจในการติดต่อกับภาครัฐ (eCitizen) เพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน (MERX)  เพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของภาครัฐ (Buyers.Gov) 

ธุรกิจตลาดประมูลออนไลน์

              ธุรกิจกลุ่มนี้มีรูปแบบการหารายได้ทั้งในแบบ B2C ซึ่งหารายได้จากการจำหน่ายสินค้าส่วนเกินของบริษัทโดยไม่เกิดความขัดแย้งกับช่องทางเดิม  รูปแบบธุรกิจตลาดประมูลออนไลน์อีกประเภทหนึ่งคือแบบ C2C ธุรกิจในกลุ่มนี้จะหารายได้จาค่านายหน้าในการให้บริการตลากประมูลซึ่งช่วยจับคู่ซื้อและผู้ขายเข้าด้วยกัน  ปัจจัยในความสำเร็จของธุรกิจประมูลแบบ B2C คือความสามารถในการหาสินค้าที่มีคุณภาพดีแต่มีต้นทุนต่ำมาประมูลขาย ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการมีพันธมิตรรายใหญ่ที่มีสินค้าคงเหลือจำนวนมาก

ธุรกิจที่ใช้ E-Commerce ในการเพิ่ม Productivity
               ได้แก่  การบริหารซัพพายเชน (Supply Chain Management)  และการให้บริการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management)  ระบบบริหารซัพพลายเชนดังกล่าวมักจะช่วยลดต้นทุนในการติดต่อกับซัพพลายเออร์  ลดต้นทุนการบริหารคลังสินค้า (Inventory)  ระบบบริการลูกค้าสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถให้บริหารลูกค้าโดยมีต้นทุนที่ลดลงจากการลดพนักงานหรือสำนักงานทางกายภาพ  ในขณะที่สามารถเพิ่มหรือรักษาระดับความพึ่งพอใจของลูกค้าได้เพิ่มผลิตภาพของธุรกิจจากการนำเอาระบบ E-Commerce มาใช้ในทั้งสองลักษณะดังกล่าวจะช่วยให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น

ข้อแตกต่างระหว่างการทําธุรกิจทั่วไปกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce

ข้อดี
  1. สามารถเป็ดดําเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  2. สามารถดําเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
  3. ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ํา
  4. ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดําเนินการ
  5. ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประชาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก
  6. สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช่บริการอินเทอร์เนตได้ง่าย
  7. ประหยัดค้าใช้จ่ายและเวลาสําหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
  8. ไม่จําเป็นต้องเป้ดเป็นร้านขายสินค้าจริงๆ
ข้อเสีย
  1. ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ
  2. ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เนตได้
  3. ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชําระเงินผ่านทางบัตรเครดิต
  4. ขาดกฎหมายรองรับในเรื่องการดําเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์
  5. การดําเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน

Chapter 4 : E-business strategy

ความหมายของ Strategy
          Definition of  the future  direction and  actions  of a  company defined as approaches to achieve specific objectives.
          การกําหนดทิศทาง และ แนวทางในการปฏิบัติ ในอนาคตขององค์กรเพื่อให้บรรลุตถุระสงค์ขององค์กรที่ได้วางไว้

ความหมายของ E-Strategy
          Definition of the approach by which applications of internal and external  Electronic  communications  can  support and influence corporate strategy.
          วิธีการที่จะทําให้กลยุทธ์ขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยการนําการสื่่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้งาน ทั้งการสื่อสารภายในองค์กร และ การสื่อสารภายนอกองค์กร

Business Strategy

คือ กลยุทธ์ที่จะเชื่อมให้ แบบจําลองทางธุรกิจเป็นจริงได้ ทํายังไงให้ การสร้าง มูลค่านั้นเป็นจริงได้ แล้วทํายังไงที่จะส่ง มูลค่านั้นให้กับลูกค้าได้ดี ที่สุด และทํายังไงให้มันแตกต่าง การทําธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิ กส์ ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างธุรกิจออนไลน์ แต่เปนการสร้างธุรกิจที่มี ความแตกต่าง อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้จะพูดถึงตัวแบบขั้นตอนกลยุทธ์หลักในการทําธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง 4 ขั้นตอนดังนี้
  1. Strategic evaluation : กลยุทธ์การประเมิน
  2. Strategic objectives : กลยุทธ์การวางแผนวัตถุประสงค
  3. Strategy definition : กลยุทธ์การกําหนดนิยาม
  4. Strategy implementation : กลยุทธ์การดําเนินงาน

กลยุทธ์ของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business Strategies)

          กลยุทธ์ เป็นตัวกําหนดทิศทางและการดําเนินงาน ด้านต่างๆ ขององค์กร กลยุทธ์เป็นเสมือนกับเหตุผลและความมุ่งหมายขององค์กร ไม่เพียงแต่กลยุทธ์เท่านั้นที่สําคัญ แต่การวางแผนและการลงมื อจําเป็นไม่แพ้กัน สรุปปัจจัยสําคัญของกลยุทธ์ที่สามารถนํามาใช้ได้ซึ่งก็คือ
  • ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ในตลาดขณะนี้หรือไม่
  • กําหนดนิยามว่าจะไปถึงวัตถุประสงค์ที่วางไว้อย่างไร
  • กําหนดการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
  • เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อที่จะได์เปรียบคู่ค่าในตลาด
  • จัดหาแผนงานระยะยาวเพื่อพัฒนาองค์กร
          องค์ประกอบที่สําคัญของกลยุทธ์ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ คือ การสร้างช่องทางอิเล็กทรอนิ กส์ใหม่ให้กับองค์กร กลยุทธ์ช่องทางอิ เล็กทรอนิกส์จะช่วยในการกําหนดเป้าหมายที่ ชัดเจนหรือเหมาะสม หากปราศจากการกําหนดเป็าหมาย การดําเนินงานจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและติดขัด จําเป็นที่จะต้องกําหนดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ว่าจะถูกไปใช้ร่วมกันกับช่องทาง อื่นๆ ได้อย่างไร สิ่งสําคัญอีกอย่างหนึ่งคือ กลยุทธ์อิเล็กทรอนิกส์จะต้องทําให้องค์กรมั่นใจว่าจะได้รับความพึงพอใจจากภายในและเกิดผลประโยชน์จากการนําเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้มาใช้

      กลยุทธ์ช่องทางอิเล็กทรอนิ์กส์ จะสําเร็จได้เมื่อมี การสร้างคุณค่าที่ต่างกันสําหรับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิ ดการเปลี่ยนแปลง ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะไม่เกิดขึ้นแบบเดี่ยวๆ ดังนั้นจะต้องมี การนําหลายๆ ช่องทางมาใช้ ร่วมกัน ซึ่งการเลือกช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ เหมาะสมนั้นบางที อาจเรียกว่า การใช้ช่องทางการคาที่ ถูกต้อง สามารถสรุปได้ดังนี้
  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง
  • ใช้ช่องทางที่ถูกต้อง
  • ใช้ข้อความที่จะสื่ออย่างถูกต้อง
  • ใช้ในเวลาที่ถูกต้อง
กลยุทธ์ของธุรกิจเล็กทรอนิกส์ ต้องกําหนดวิธีที่องค์กรจะได้รับคุณค่าจากการใช้เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์



E-channel strategies

          E-Channel ย่อมาจาก electronic channels คือ การสร้างช่องทางใหม่ๆ ในการกระจายสินค้า ทั้งจากลูกค้า และคู่มค่า โดยที่ช่องทางทางอิเล็กทรอนิกส์ สามารถกําหนดวิธีการที่ใช้ทํางานร่วมกับช่องทางอื่นๆจากหลายช่องทางของกลยุทธ์  E-Business

multi-channel e-business strategy

          กลยุทธ์หลายช่องทาง e -business เป็นการกําหนดวิธีการทางการตลาดที่แตกต่าง และ ช่องทางของห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้นจึงควรมีการบูรณาการ และ ทุกๆกลยุทธ์ควรจะสนับสนุนซึ่งกัน



Strategy process models for e-business

  • Strategy Formulation
  • Strategic Implementation
  • Strategic Control and Evaluation

Strategy Formulation

  • การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกเพือหาโอกาสและภัยคุกคาม โดยพิจารณา ในแง่ต่างๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี การต่างประเทศ ตลาด ลูกค้า คู่แข่ง ผู้สนับสนุนวัตถุดิบ และตลาดแรงงาน ฯลฯ
  • การวิเคราะห์สถานการณ์ภายในเพือหาจุดแข็งและจุดอ่อน เช่ น ความสามารถ ด้านการตลาด การผลิต การเงิน สารสนเทศ กฎระเบียบ การจัดการ และ ทรัพยากรบุคคล ฯลฯ
  • การกําหนดหรือทบทวนวิสัยทัศน์และภารกิจขององค์การเพือกําหนดให้แน่ชัดว่า
  • การกําหนดวัตถุประสงค์ขององค์การในระยะของแผนกลยุทธ์
  • การวิเคราะห์และเลือกกําหนดกลยุทธ์และแนวทางพัฒนาองค์การ

Strategic Implementation

  • การกําหนดเป้าหมายการดําเนินงาน
  • การวางแผนปฏิ บัติ การ (Action Plan) ที่ระบุกิ จกรรมต่างๆ ที่จะต้องดําเนินการ
  • การปรับปรุง พัฒนาองค์การ เช่น ในด้านโครง สร้าง ระบบงาน ทรัพยากรบุคคล วัฒนธรรมองค์การและ ปัจจัยการบริการต่างๆ ในองค์การ

Strategic Control and Evaluation

  • การติดตามตรวจสอบผลการดําเนินงานตามแผนกลยุทธ์
  • การติดตามสถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ทีอาจเปลี่ยนแปลงไปซึ่งอาจทําให้ ต้องมีการปรับแผนกลยุทธ์






Chapter 3 : E - ENVIRONMENT

สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่

  1. สภาพแวดลอมภายนอกธุรกิจ Internal Environment คือสภาวะแวดล้อมที่ธุรกิจสามารถควบคุมได้หมายถึง ปัจจัยต่าง ๆ ที่ธุรกิจสามารถกําหนด และ ควบคุมได้เป็นไปตามความต้องการของธุรกิจถือว่าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโปรแกรมการตลาด โดยการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของธุรกิจ ในการนําไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
  2. สภาพแวดล้อมภายในธุรกิจ External Environment ภาวะแวดล้อมที่ธุรกิจไม่สามารถควบคุมได้ ปัจจัยกลุ่มนี้ หมายถึง ปัจจัยยังคับภายนอกธุรกิจที่มีอิทธิพลต่อระบบการตลาด ถือว่าเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้แต่มีอิทธิพลต่อระบบการตลาด คือสร้างโอกาสหรืออุปสรรคแก่ ธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อมจุลภาค และสิ่งแวดล้อมมหภาค

สภาพแวดล้อมภายนอกธุรกิจระดับจุลภาค (Micro External Environment) 

คือ ภาวะแวดล้อมภายนอกที่ ธุรกิจไม่ สามารถ ควบคุมได้ แต่สามารถเลือก ที่จะติดต่อและเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
  1. ตลาด หรือลูกค้า (Market) 
  2. ผู้ขายปัจจัยการผลิตหรือวัตถุดิบ (Suppliers)
  3. คนกลางทางการตลาด (Marketing Intermediaries)
  4. สาธารณชนและกลุ่มผลประโยชน์ (Publics)

สภาพแวดล้อมภายนอกธุรกิจระดับมหภาค (Macro External Environment)

คือ สภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการดําเนินธุรกิจและต่อระบบการตลาดเป็นอย่างมาก แต่ละหน่วยงานและองค์กรธุรกิจไม่สามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ แบ่ งออกได้เป็น 4 ประการ ได้แก่
  1. ด้านการเมืองและกฎหมาย
  2. เศรษฐกิจ
  3. สังคม
  4. เทคโนโลย

การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการบริหารธุรกิจ

S (Strengths) จุดแข็ง
เป็นปัจจัย ภายในที่สามารถควบคุมได้ตามศักยภาพของธุรกิจที่มีอยู่ จุดแข็งนี้จะกอใหเกิดผลดีตอ
ธุรกิจ ซึ่งส่งผลมาจากการบริหารงานภายในระหว่างผู้บริหารและบุคลากร หรืออาจมาจากความได้เปรียบในด้านทรัพยากรทางการบริหารต่างๆ เช่น มีสถานภาพทางการเงินที่มั่นคง ที่ตั้งอยู่ใกล้ทั้งแหล่งวัตถุดิบและแหล่ง จัดจำหน่าย บุคลากร มีประสบการณ์และความสามารถสูง ฯลฯ

W (Weaknesses) จุดอ่อน
เป็นปัจจัยภายในที่เกิดจากปัญหาภายในธุรกิจ อันเนื่องมาจากการบริหารงานที่ ผิดพลาด ข้อจํากัดบางประการของศักยภาพทางธุรกิจ ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลร้ายถ้าไม่รีบดําเนินการแก้ไข เช่น ขาดสภาพคล่อง
ทางการเงิน สินค้าที่ผลิตออกมามีคุณภาพ ไม่คงที่ ขาดการประสานงานที่ดีภายในองค์กร ฯลฯ

O (Opportunities) โอกาส
เป็นป็จจัยภายนอกที่ธุรกิจไม่ สามารถเข้าไปควบคุมให้เกิดหรือไม่ เกิดขึ้นได้ แต่ เป็นสภาวการณ์แวดล้อมอันส่งผลดีให้กับธุรกิจโดยบังเอิญ เช่น กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีรายได้เพิ่มขึ้นนโยบายของรัฐให้การสนับสนุนธุรกิจประเภทนี้ สินค้าของคู่แข่งมีคุณภาพต่ํา ฯลฯ

T (Threats) อุปสรรค 
เป็นปัจจัยภาย นอกที่ธุรกิจไม่สามารถเข้าไปควบคุมให้เกิดหรือ ไม่เกิดขึ้นได้ และเป็นสภาวการณ์แวดล้อมอันเลวร้ายที่ส่งผลกระทบให้ธุรกิจเสียหาย เช่น รัฐบาลขึ้นภาษี ปัญหาสภาพเศรษฐกิจตกต่ํา วัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น เกิดภัยสงครามหรือภัยธรรมชาติ ฯลฯ

การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ด้วย TOWS Matrix


กลยุทธ์เชิงรุก (SO Strategy)
          เป็น การใช้จุดแข็งบนโอกาสที่มี ได้มาจากการนําข้อมูลการประเมินสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดแข็งและโอกาสมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนํามากําหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในเชิงรุก

กลยุทธ์เชิงป้องกัน (ST Strategy)
          เป็นการใช้จุดแข็งป้องกันอุปสรรค ได้มาจากการนําข้อมูลการประเมินสภาพแวดล้อมที่ เป็น จุดแข็งและข้อจํากัดมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนํามากําหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในเชิงป้องกัน

กลยุทธ์เชิงแก้ไข (WO Strategy)
เป็นการขจัดจุดอ่อนโดยใช้โอกาส ได้มาจากการนําข้อมูลการประเมินสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดอ่อนและโอกาสมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนํามากําหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในเชิงแก้ไข

กลยุทธ์เชิงรับ (WT Strategy)
เป็น การขจัดจุดอ่อนป้องกันอุปสรรค ได้มาจากการนําข้อมูลการประเมินสภาพแวดล้อมที่ เป็นจุดอ่อนและข้อจํากัดมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนํามากําหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในเชิงรับ

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประเพณีลอยกระทง

          


          ลอยกระทง (Loi Krathong Day) เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ งานลอยกระทงเริ่มทำตั้งแต่ กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำจะเต็มสองฝั่งแม่น้ำ ที่นิยมมากคือ ช่วงวันเพ็ญเดือน 12 เพราะพระจันทร์เต็มดวง ทำให้แม่น้ำใสสะอาด แสงจันทร์ส่องเวลากลางคืน เป็นบรรยากาศที่สวยงาม เหมาะแก่การลอยกระทง

          เดิมพิธีลอยกระทงเรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงชักโคมลอยโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์ เพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ครั้นคนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนา ก็ทำพิธียกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ประเทศอินเดีย

          การลอยกระทง ตามสายน้ำนี้ นางนพมาศ สนมเอกของพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย คิดทำกระทงรูปดอกบัว และรูปต่างๆถวาย พระร่วงทรงให้ลอยกระทงตามสายน้ำไหล ในหนังสือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระร่วงตรัสว่า "แต่นี่สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอย เป็นรูปดอกบัวอุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมฆทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน"


ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการทำกระทงขนาดใหญ่และสวยงาม ดังพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพาราชวงศ์ กล่าวไว้ว่า

          "ครั้นมาถึงเดือน 12 ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ แรมค่ำหนึ่งพิธีจองเปรียงนั้น เดิมได้โปรดให้ขอแรง พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน และข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมาทำกระทงใหญ่ ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้าง 8 ศอกบ้าง 9 ศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอด 10 ศอก 11 ศอก ทำประกวดประขันกันต่างๆ ทำอย่างเขาพระสุเมรุทวีปทั้ง 4 บ้าง และทำเป็นกระจาดชั้นๆบ้าง วิจิตรไปด้วยเครื่องสด คนทำก็นับร้อย คิดในการลงทุนทำกระทงทั้งค่าเลี้ยงคนและพระช่าง เบ็ดเสร็จก็ถึง 20 ชั่งบ้าง ย่อมกว่า 20 ชั่งบ้าง"

          ปัจจุบันประเพณีลอยกระทง มีการจัดงานกันแทบทุกจังหวัด ถือเป็นงานประจำปีที่สำคัญ โดยเฉพาะ ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดขบวนแห่กระทงใหญ่ กระทงเล็ก มีการประกวดกระทง และประกวดธิดางามประจำกระทงด้วย

          ส่วนการลอยโคม ชาวบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสานยังนิยมทำกัน ชาวบ้านจะนำกระดาษ มาทำเป็นโคมขนาดใหญ่สีต่างๆ ถ้าลอยตอนกลางวัน จะทำให้โคมลอยโดยใช้ควันไฟ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ก็จะใช้คบจุด ที่ปากโคม ให้ควันพุ่งเข้าในโคม ทำให้ลอยไปตามกระแสลมหนาว เวลากลางคืนแลเห็นแสงไฟโคม บนท้องฟ้า พร้อมกับแสงจันทร์และดวงดาวสวยงามมากทีเดียว




เรื่องน่ารู้ใน วันลอยกระทง

คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทง 
คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้ 
          1. การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
          2. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์ คือบูชาพระนารายณ์ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
          3. การลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
          4. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
          5. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า
          6. การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
          7. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล ประวัติการลอยกระทงในเมืองไทย 
          การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีปหรือลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา
การลอยกระทงในปัจจุบัน 
          การลอยกระทงในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามสมควร เมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 12 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วยและดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวัง พร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา
ตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้กระทง ควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ 

เหตุผลของการลอยกระทง 
สรุปเหตุผลของการลอยกระทงในประเทศไทยดังนี้ 
          1. เพื่อขอขมาแม่คงคา เพราะได้อาศัยนำท่านกินและใช้ และอีกประการหนึ่งมนุษย์มักจะทิ้งและถ่ายสิ่งปฏิกูลลงไปในนำด้วย 
          2. เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที ซึ่งประพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทประดิาฐานไว้บนหาดทรายที่แม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย 
          3. เพื่อลอยทุกข์โศกโรคภัย และสิ่งไม่ดี คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์ 
          4. เพื่อบูชาพระอุปคุต ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพแกพระอุปคุตอย่างสูง ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถปราบพญามารได้ การลอยกระทงไม่มีพิธีรีตอง เพียงแต่ขอให้มีกระทงจะทำด้วยอะไรก็ได้ เช่น ใบตอง การกล้วย กาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ จุดธูปเทียนปักที่กระทงแล้วอธิษฐานตามที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปที่แม่นำลำคลอง

     การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเทศกาล "สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง" เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน นอกจากจะมีกิจกรรมเด่น ในหลายพื้นที่ เช่น งานลอยกระทงกรุงเทพมหานคร, ประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย, ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่, ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวงฯ จังหวัดตาก และประเพณี ลอยกระทงตามประทีป จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้แล้วยังเป็นการส่งเสริมประชาสัมพันธ์งานประเพณีลอยกระทงให้เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวในระดับนานาชาติ (World Events) เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเดินทางของนักท่องเที่ยวตลอดเดือนต่อไป

วัตถุประสงค์ 

๑. เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟู ประเพณี อันดีงามของไทย(โดยเฉพาะประเพณีลอยกระทงของแต่ละท้องถิ่น) ไว้สืบทอดต่อไป
๒. เพื่อส่งเสริมให้งานประเพณีลอยกระทง เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยว โดยสามารถนำเสนอในรายการนำเที่ยวเป็นประจำทุกปี ในอนาคตอย่างยั่งยืน
๓. เพื่อเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวและรายได้ พร้อมทั้งขยายวันพักของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
๔. เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างประเทศในช่วงเทศกาลประเพณีลอยกระทง และการท่องเที่ยวทางน้ำตลอดเดือนพฤศจิกายน







วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Chapter 2 : คำถามท้าบยบทที่ 2

e-commerce กับ e-business เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

          e-business มีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยหมายถึง การทำกิจกรรมในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการซื้อขาย การติดต่อประสานงาน รวมถึงงานธุรการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในสำนักงานด้วย ในขณะที่ e-commerce หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะเน้นเฉพาะการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเท่านั้น จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า e-commerce เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ e-business เท่านั้น


Business-to-business (B2B) คือ

          ใช้ในการทำธุรกิจระหว่าง ธุรกิจ สู่ธุรกิจ หรือ บริษัท กับ บริษัท องค์กร กับ องค์กร ทั้ง ต้นน้ำ ปลายน้ำ หรือกับลูกค้าที่เป็นธุรกิจ เช่น ส่งออก วางระบบ บริการ Software การเชื่อมโยง Connectivity หรือ Net Work ทั้ง data & voice เช่น Cisco,E procurement, Thai Horizon, Winstore

Business-to-Business (B2B) คือ

          คือการ ค้าจากธุรกิจสู่ผู้บริโภค เช่น การเปิด Virtual Mall หรือ การค้า บนอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า E Commerce เช่น Amazon.com,Priceline.com,Naspter,Etoy,EOtoday, Magazine Online


Business-to-Business-to-Customer (B2B2C)

          เป็นรูปแบบของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่นำB2B (ธุรกิจกับธุรกิจ) และ B2C (ธุรกิจเพื่อผู้บริโภค) นี้เป็นรุ่นที่มีความซับซ้อนมากขึ้นของสิ่งที่อาจจะง่ายซ้อนของทั้งสองธุรกิจ ด้วยแพลตฟอร์มเดียวกันออนไลน์และแพลตฟอร์มการกระจายเดียวกันเกี่ยวกับการสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่สมบูรณ์จากสินค้าหรือบริการที่ผลิตจนกว่าจะถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้าย

Customer-to-Customer (C2C)

           การทำธุรกิจที่เน้น ให้ ลูกค้าสร้างกลุ่มกันเองขึ้นมา เป็นชุมชน เข้า Chat หรือ พูดคุยให้ความเห็นกัน เช่น pantip.com ,ebay เวปสำหรับเสนอการประมูลขายของ,ICQ,Hotmail

Customer-to-Business (C2B)

          การติตต่อจากลูกค้าเข้ามาหาธุรกิจ เช่นการขอบริการ การหาข้อมูล พวก search engine ทั้งหลาย ISP, ASP ที่ลูกค้ามักมีความต้องการติดต่อเข้ามาหาธุรกิจ Yahoo.com , Microsoft.com มา download Software , Egoverment มาขอข้อมูลรัฐและ การร้องขอบริการจากภาครัฐ,Bankasia4u.com ธนาคาร ออน์ไลน์ ที่ลูกค้าเข้ามาร้องขอทำธุรกรรมการเงิน
ใน 4 ต้นแบบพบว่าต้นแบบแรกมีมูลค่าเป็น 10 เท่าตัวของต้นแบบอื่นๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้นแบบอื่นจะไม่ประสพผลสำเร็จ ปัญหาคือธุรกิจ บางครั้งต้องผสมผสานการทำงานทั้ง 4แบบ และมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นๆ รวมถึง การผสมผสานระหว่าง หน้าร้านกับ ออน์ไลน์


Mobile Commerce คือ

          M-commerce (Mobile Commerce) เป็นการซื้อและขายสินค้าและบริการฝ่ายอุปกรณ์ไร้สาย เช่น โทรศัพท์เซลลูลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นต่อมาของ E-commerce โดย M-commerce สามารถให้ผู้ใช้ติดต่อกับอินเตอร์เน็ตแบบไม่ต้องมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลักของ M-commerce นั้นอยู่บนพื้นฐานของ Wireless Application Protocol (WAP) ซึ่งกำลังมีการใช้กันอย่างกว้างขวางในยุโรป โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะติดตั้ง Browser แบบ Web-ready micro-browser การพัฒนา Web-enabled smart phones มีการใช้เทคโนโลยี Blue tooth เป็นระบบ smart phone ที่สามารถใช้ Fax, e-mail และโทรศัพท์ ในระบบเดียว เพื่อทำให้ M-commerce ได้รับการยอมรับตามการขยายตัวของโทรศัพท์เคลื่อนที่

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Chapter 2 : E-business infrastructure

E-business infrastructure

Internet technology

          การกำหนดคำนิยาม(Definition)

  • การกำหนดคำนิยามของคำว่า technology infrastructure นั้น ต้องคำนึงถึง โครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีที่มีผลต่อคุณภาพการบริการแก่ผู้ใช้งานของระบบทั้งในแง่ของ ความเร็ว(Speed) และ การตอบสนองต่อการร้องขอระบบ (responsiveness)
  • การให้บริการ e - business ให้ผ่านมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีนั้นต้องกำหนดความสามารถขององค์กรในการแข่งขันทางธุรกิจผ่านการความแตกต่างให้กับตัวเองในตลาด

          ความหมาย E-business infrastructure

          หมายถึงการรวมกันของฮาร์ดแวร์เช่น Server, Client PC ในองค์กรรวมถึงการใช้เครือข่ายในการเชื่อมโยงฮาร์ดแวร์เหล่านี้และการใช้งานซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการส่งมอบบริการให้กับผู้ใช้งานที่อยู่ในบริษัทและยังรวมถึงคู่ค้าและลูกค้าของตน ซึ่งคำว่า Infrastructure ยังรวมไปถึงสถาปัตยกรรมทางด้าน Hardware , Software และ เครือข่าย ที่มีอยู่ในบริษัทด้วย และท้ายที่สุด ยังรวมไปถึง กระบวนการในการนำเข้าข้อมูลและเอกสารเข้าสู่ระบบ E-business ด้วย

          Internet technology

          Internet ช่วยให้การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องที่เชื่อมต่อทั่ว โลก แต่ในการถ่ายโอนข้อมูลนั้นไร้รอยต่อของวิธีการเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การร้องขอข้อมูลจะถูกส่งจากคอมพิวเตอร์ไคลเอนต์และอปุ กรณ์มือถือที่มีผู้ใช้ร้องขอการบริการให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลโปรแกรมประยุกต์ทางธุรกิจและโฮสต์ที่ส่งมอบการบริการในการตอบสนองต่อการร้องขอ ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงเป็นระบบเขนาดใหญ่ในรูปแบบ Client/Server

          Intranet applications

          อินทราเน็ตถูกใช้อย่างกว้างขวางเพื่อรองรับการขายในด้านธุรกิจ e - commerce โดยเน้นทำงานจากฝ่ายการตลาดเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมหลักของsupply-chain management

          Extranet applications

  • เอ็กซ์ทราเน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลโดยควบคุมจากภายนอกองค์กร สำหรับธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง
  • การประยุกต์ใช้เอ็กซ์ทราเน็ตโปรแกรมนั้น ข้อมูลซอฟต์แวร์จะจำกัด การเข้าถึงของ บริษัท โดยแสดงข้อมูลภายในให้กับผู้ใช้ภายนอกเช่น ลูกค้าและซัพพลายเออ สามารถจำกัดการเข้าถึงข้อมูล และมักจะมีความสามารถในการสั่ง ซื้อสินค้าและบริการตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อบริการลูกค้าร้องขอได้มากขึ้น
  • เช่น www.ifrazone.com เหมาะกับธุรกิจแบบ B2B

          Firewalls

          Firewalls are necessary when creating an intranet or extranet to ensure that outside access to confidential information does not occur. Firewalls are usually created as software mounted on a separate server at the point where the company is connected to the Internet. Firewall software can then be configured to only accept links from trusted domains representing other offices in the company. A firewall has implications for e-marketing since staff accessing a web site from work may not be able to access some content such as graphics plug-ins. The use of firewalls within the infrastructure of a company is illustrated in Figure 3.6. It is evident that multiple firewalls are used to protect information on the company. The information made available to third parties over the Internet and extranet is partitioned by another firewall using what is referred to as the ‘demilitarized zone’ (DMZ). Corporate data on the intranet are then mounted on other servers inside the company.


          Web technology

          คำว่า World Wide Web, หรือเรียกสั้นๆว่า ‘web’ คือ ขั้นตอนมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อมูลสาธารณะบนโลกอินเทอร์เน็ต โดยรูปแบบเอกสารพื้นฐานคือ HTML (Hypertext Markup
Language)
          หรือ การบริการหนึ่งในรูปแบบต่างๆของการให้บริการของอินเตอร์เน็ต สำหรับผู้พัฒนาเว็บ หรือผู้ที่ต้องการเขียนโปรแกรมเพื่ติดต่อสื่อสารผ่านเว็บ หรือ อินเตอร์เน็ต แล้วจะต้องรู้และเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับ โปรโตคอล (Protocal) - มาตรฐานในการรับส่งข้อมูล

          ความรู้เบื่องต้นการใช้งานอินเทอร์เน็ต

  • โปรโตคอล เป็นเพียงข้อตกลงกันระหว่าง 2 ฝ่ายที่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง และราบรื่นมากที่สุด
  • การใช้บริการเว็บจะทำงานภายใต้ โปรโตคอล HTTP
  • โดยโปรโตคอลจะเป็นตัวกำหนดวิธีการส่งข้อมูลหรือไฟล์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Client และ Server รวมถึงการกำหนด กฏระเบียบในการติดต่อด้วย เราจะใช้โปรแกรมประเภท Browser เป็นตัวช่วยในการติดต่อสื่อสารได้ง่ายขึ้น

          Web browsers and servers

          เว็บเบราว์เซอร์ (web browser) เบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมดูเว็บ คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดย
โปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
           รายชื่อเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
  • Google Chrome
  • Opeara
  • Mozilla Firefox
  • Internet Explorer
          เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งให้บริการที่เก็บเว็บไซต์ (Server) แล้วให้ผู้ใช้ (Client) เรียกชมหน้าเว็บไซต์ได้โดยใช้โพรโทคอล HTTP ผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์
          ซอฟต์แวร์ หรือ โปรแกรมที่นำมาทำ เว็บเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 4 อันดับแรก คือ
  • Apache HTTP Server จาก Apache Software Foundation
  • Internet Information Server (IIS) จากไมโครซอฟท์
  • Sun Java System Web Server จากซัน ไมโครซิสเต็มส์
  • Zeus Web Server จาก Zeus Technology

          Internet-access software applications


Web 1.0 = Read Only, Static Data with simple markup
          Web 1.0 ผ้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว ( Read-only ) เป็ นเทคโนโลยีที สามารถที
สามารถแก้ไขข้อมูล หน้าตาของเว็บไซต์ได้เฉพาะผ้ดูู
แลเว็บไซต์ ( Web master )เป็ นเว็บที ผู้เข้าเยี ยมชมไม่สามารถมีส่ วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ ถือว่าเป็ นเว็บรjนแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต์ส่วนมากจะใช้ภาษา html (Hyper Text Markup Language) เป็ นภาษา
สําหรับการพัฒนา Web 1.0 นั นเป็ นเรื องของการที ผ้ให้บริการนําเสนอข้อม ู ูลให้กับบุคคลทั วไป 
โดยทําในลักษณะเดียวกับหนังสือทั วไป ที ผ้อ่านมีส่วนร่วมน้อยมากในการเติมแต่งข้อม ู ูล ต่อมาเริ มมี
การนําเอา Java Script และภาษา PHP (Hyper Text preprocessor) 
มาใช้งาน


          Web 2.0 คือ ผ้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ 
( Read-Write ) เป็ นเทคโนโเว็บไซต์ที พัฒนาต่อจาก web 1.0 เป็ นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที สามารถโต้ตอบกับผ้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล็อก วิพีเดีย เป็ นต้น ซึ งจะใช้ฐานข้อมู
ลมาเกี ยวข้อกับเทคโนโลยีนี ด้วย บุคคลทั วไปคือผ้สร้างเนื อหา และนําเสนอข้อม
ู ูลต่าง ๆ จาก Web 2.0 ในเปลือกนัท ทําให้เราเข้าใจว่าในยุคที 2 นั นเป็ นเรื องของการแบ่งปันความร้ซึ งกันและกันอย่างแท้จริง โดยการูสร้างเสริมข้อมูลสารสนเทศ ให้มีคุณค่าและมีข้อมูลที ถู
กต้องที สุด ดังตัวอย่างที เป็ นสิ งที ทุกคนคงร้จักกันดีอย่าง ู Wikipedia ทําให้ความร้ถู ูกต่อยอดไปอย่ตลอดเวลา ข้อมู ูลทุกอย่างได้มาจากการเติมแต่งอย่างไม่มีที สิ นสุด เกิดจากการคานอํานาจของข้อมู
ลของแต่ละบุคคลทําให้ข้อมูลนั นถูกต้องมากที สุด และจะถูกมากขึ นเมื อเรื องนั นถูกขัดเกลามาตามระยะเวลายาวนาน

          Web 3.0 เป็ นการนําแนวคิดของ Web 2.0 มาทําให้ Web นั นสามารถจัดการข้อมูลจํานวนมากๆ ให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที หมายถึงข้อมูลที บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทําให้เว็บ
กลายเป็ น Semantic Web คือ ตัว Web จะทําหน้าที ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น แล้ว
ให้ Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทน โดยข้อมูลแต่ละ Tag จะมีความสัมพันธ์กับอีก Tag หนึ่งโดย
ปริยาย ทําให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็ นฐานข้อมูล ความร้ขนาดใหญ่ ที ข้อมูลทุกอย่างถูกเชื อมต่อกันอย่างเป็ นระบบมากขึ น Web 3.0 จะพัฒนาไปในลักษณะ Segment of One คือ Segment ที มีบุคคลแค่คน
เดียว หรือ ตอบโจทย์ความเป็ นส่วนบุคคล เช่น อยากไปเที ยวภูเขาไฟฟูจิ เมื อค้นข้อมูลแล้วเว็บไซต์จะ 
เชื อมโยงข้อมูลทั งหมดออกมา ไม่ว่าจะจากสายการบินต่างๆ แพ็กเกจไหนดีที สุด และนํามาเช็ค กับตารางของผ้ใช้ ว่าตารางเวลาตรงกันไหม หรือจะนําไปเช็คกับตารางของเพื่อนที่ญี่ปุ่นใน Social Network พื อนัดเวลาที ตรงกันเพื อพบปะทานข้าวร่วมกันก็ได้ ในยุคสื อดิจิตอล

เว็บ 3.0 ที ได้รับการพัฒนา จะประกอบด้วย
     1. AI (Artificial Intelligence)
     2. semantic web
     3. Automated reasoning
     4. semantic wiki
     5. ontology language หรือ OWL

Blog


         Blog มาจากคําเต็มว่า WeBlog บางครังอ่านว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log Blog คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื อหาเป็ นเรื)องใดก็ได้ซึ)งข้อมูลประกอบด้วยข้อความ, รูปและลิงค์การเพิมบทความให้กบั blog ที)มีอยู่ เรียกว่า “blogging” บทความใน blog เรียกว่า “posts” หรือ “entries” บุคคลที่โพสลงใน “entries”เรียกว่า “blogger”

Blog และวิถีของผู้คน

          Blogger หลายคนสนับสนุนแนวคิดเรื)อง open source Blog ส่งผลกระทบต่อสังคมได้เช่นบาง Blog นั นลูกจ้างอาจจะก่อรําคาญใจต่อนายจ้างและทําให้บางคนถูกไล่ออกคนใช้Blog ในทางอื)นๆ เช่นส่งข้อความสู่สาธารณะ อาจจะมีปัญหาตามมาได้คือการไม่เคารพทรัพย์สินทางปัญญา หรือการให้ข่าวที)ไม่น่าเชื)อถือได้บางครั งการสร้างข่าวลือก็เอื อประโยชน์ต่อสื)อสารมวลชนที)สนใจเรื)องนั น ๆ ได้
 Blog เป็ นการรวบรวมความคิดของมนุษย์สามารถนํามาใช้ช่วยกบปัญหาด้านจิตวิทยา , อาชญากรรม , ชนกลุ่มน้อย ฯลฯ Blog เป็ นช่องทางเผยแพร่งานพิมพ์อยางประหยัดและมีประสิทธิภาพ

Internet Forum


         ทําหน้าที)คล้าย bulletin board และ newsgroup มีการรวบรวมข้อมูลทัวๆไป )เช่น เทคโนโลยี, เกม,
คอมพิวเตอร์, การเมือง ฯลฯ ผู้ใช้สามารถโพสหัวข้อลงไปในกระดานได้ผู้ใช้คนอื)นๆ กสามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั่ งโพสความคิดเห็นของตนเองลงไปได้

Wiki

         Wiki อ่านอ
อกเสียง "wicky", "weekee" หรือ"veekee" สามารถสร้างและแกไขหน้าเว็บเพจขึ้ นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์ โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร html เหมือนแต่ก่อน Wiki เน้นการทําระบบสารานุกรม, HOWTOs ที)รวมองค์ความรู้หลายๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกนโดยเฉพาะมีเครื)องมือที)ใช้ทํา Wiki หลายอยาง่ เช่น Wikipedia เป็นต้นWikipedia เป็ นระบบสารานุกรม(Encyclopedia) สาธารณะที)ทุกคนสามารถใส่ข้อมูลลงไปได้รองรับภาษามากกวาา 70 ภาษารวมทั งภาษาไทยมีการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์วิกิสําคัญยิงในการสร้างสารานุกรมที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาร่วมกนสร้างสารานุกรม http://www.wikipedia.org
วิกิพีเดียในภาคภาษาไทยที่ http://th.wikipedia.org ในปัจจุบันวิกิพีเดียถือว่าเป็นแหลงความรู้ที่สําคัญ

Instant Messaging

         เป็ นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื)อสารระหวางบุคคลบนเครือข ่ ายที)เป็ นแบบ ่
relative privacy ตัวอยางเช่น Gtalk , Skype , Meetro , ICQ , Yahoo Messenger , MSN Messenger และ
AOL Instant Messenger เป็นต้น


Folksonomy

          ก่อนหน้าการกาเนิดขึ้นของปัจเจกวิธาน โดยทัวไปแล้ว ) ได้มีการจัดกลุ่มการจัดระเบียบและค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตโดยทัวไปมี ) 3 แบบ คือ

1. ค้นหาในเนื อความ (Text Search)
           ตัวอย่างเช่น Google ที่ก่อตังโดย Sergery Brin และ Larry Page ได้ออกแบบเพื อจัดอันดับความสําคัญของเว็บโดยคํานวณจากการนับ Link จากเว็บอื นที ชี มาที เว็บหนึ ง ๆเป็นที่น่าติดตามวาจะมีเทคนิควิธีในการค้นหาข้อมูลใหม่ๆ

2.เรียงเนือหาตามลําดับเวลา (Chronological)
         เนื อหาข้อมูลจะถูกจัดเก็บเรียงลําดับเวลาโดยแสดงตามเวลาใหม่ล่าสุดก่อน เช่น เว็บไซต์ประเภทข่าวอยาง่ CNN, BBC และ google news เนือหาเก่าจะตกไปอยูด้านล่าง  Blog ก็ใช้วิธีจัดเรียงตามเวลาเช่นักทั งนี้ หากต้องการอ่านเนื่ อหาเก่าก็สามารถคลิกดูที)ปฏิทินได้

3.แยกตามกลุ่มประเภท (Category, Classification)
          การจัดระเบียบแบบนี ยึดเอาหัวข้อเป็ นหลักแล้วแยกประเภทออกไป เช่น แบ่งหนังสือเป็นประเภทธุรกิจ, หนังสือเด็ก, นวนิยาย, คอมพิวเตอร์, ศาสนา, วิทยาศาสตร์ฯลฯลักษณะอื่น ๆ จะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น

Networking Standards

          ในส่วนนี จะกล่าวถึง Internet Standard เป็นขบวนการที) เกี่ยวข้องกับทุกๆ protocol & procedure และระเบียบแบบแผนต่างๆ ที)ใช้ในระบบอินเตอร์เน็ต ไม่จําเป็นว่ ามันจะเป็นส่วนหนึ) งของ TCP/IP protocol หรือไม่ในกรณีของหลายๆ protocol จะถูกพัฒนาและทําให้เป็นมาตราฐานด้วยองค์กรที) ไม่ใช่เป็นองค์กรของอินเตอร์เน็ต (non-Internet organizations) แต่อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว the Internet Standards Process ก็จะถูกทําให้เป็น application ของโปรโตคอลและ procedure ของ Internet context ไม่ใช่ว่าเพื่อระบุให้โปรโตคอลของมันเอง

TCP/IP

  • ข้อตกลงในการควบคุมการรับส่งข้อมูล และ internet หรือ protocol ของระบบ internet TransmissionControlProtocol/InternetProtocol
  • โปรโตคอล  TCP/IP เป็นชื)อเรียกของชุดโปรโตคอลที)สําคัญ  มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายตามการขยายตัวของอินเตอร์เน็ต/อินทราเน็ต ความจริงแล้วโปรโตคอลTCP/IP เป็นกลุ่มของโปรโตคอลหลายตัวที่ประกอบกันเป็นชุดให้ใช้งาน  โดยมีคําเต็มว่า  Transmission Control Protocol/Internet Protocol ซึ่งจากชื่อเต็มทําให้  เราเห็นว่าอย่างน้อยก็มีโปรโตคอลประกอบกั นทํางานร่วมกั น 2 โปรโตคอลคือ TCPและ IP
  • โปรโตคอลที)มีบทบาทสําคัญในการทํางานในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต  คือ Internet Protocol (โปรโตคอล  IP) เนื่องจาก  เมื่อโปรโตคอลอื่น ๆ ต้องการส่งผ่ านข้อมูลข้ามเครือข่ายในอินเตอร์เน็ตนั้ น  จะต้องอาศัยการผนึกข้อมูล  (encapsulation) ไปกั บโปรโตคอล  IP ที)มีกลไกการระบุเส้นทาง(route service) ผ่ าน Gatewayหรือ Routerเนื่องจากกลไกการระบุเส้นทาง จะทํางานที่โปรโตคอล IPเท่านั น และด้วยเหตุนี เราจึงเรียก IP ว่ าเป็นโปรโตคอลที่มีความสามารุระบุเส้นทางการส่งผ่ านของข้อมูลได้ (routable)

The HTTP protocol


  • HTTPมาจากคําว่ า HypertextTransferProtocolซึ) งเป็น protocolที)ใช้ในการส่งเดต้าต่าง ๆ ในโลกของ World Wide Web. เดต้าต่าง ๆ เหล่านี โดยทั่วไปมักจะถูกเรียกว่า  Resource โดย  Resource เหล่านี้ อาจจะเป็นไฟล์ เช่น HTMLไฟล์, imageไฟล์ หรือคําสั่งต่าง ๆ (QueryString)
  • HTTP เป็น network protocol ที)ใช้หลักการของ client-server model ในการติดต่อสื่อสารซึ่งหลักการทํางานอย่ างคร่าว ๆ มีดังนี้

          1. HTTP Client จะทําการสร้างคอนเนคชั) นไปหา HTTP Server ซึ) งโดยทั) วไปจะผ่ านทาง socket ของ TCP/IP
              2. หลังจากนั น HTTP Client จะทําการส่งคําสั) ง (request) ซึ) งอยู่ ในรูปของ message ไปให้ HTTP Server เพื)อทวงถามถึง resource ที)ต้องการ
                3. HTTP Server จะทําการตีความคําสั) งที)ได้และส่งผล (response) ซึ) งเป็น resource ที) HTTP Client ต้องการกลับมา (ผลที)ส่งกลับมาจะเป็นลักษณะของ message คล้ายกั บ requet ของ HTTP Client ที่ส่งมาให้ HTTP Server)
                  4. หลังจากที)การส่ง response เสร็จสิ น, HTTP Server จะทําการปิ ดคอนเนคชั) นที)มาจาก HTTP Client
                    5. ในกรณีที) HTTP Client ต้องการ resource อื)น ๆ, HTTP Client จะต้องทําการสร้างคอนเนคชั่นใหม่และส่งคําสั่งไปหา HTTP Server อีกครั้งจากหลักการข้างต้นจะเห็นว่ าการติดต่อสื) อสารระหว่ าง Client และ Server จะเป็นลักษณะครั งต่อครั ง ในทาง network เราเรียกการติดต่อสื) อสารแบบนี ว่ า Stateless Protocol

          Uniform resource locators (URLs)

                    คือตัวระบุแหล่งทรัพยากรสากล (URI) ประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้สําหรับระบุแหล่งที่อยู่ ของทรัพยากรย์ต้องการ และมีกลไกบางอย่างสําหรับดึงข้อมูลทรัพยากรนั้นมา ในการใช้ในเอกสารทางเทคนิคและการอภิปรายทั่วไป มักจะใช้ยูอาร์แอลแทนความหมายที่คล้ายกั บยูอาร์ไอ  ซึ่งไม่ใช่ความหมายที่ถูกต้องและอาจทําให้เกิดความสับสน ในภาษาพูดทั่วไป ยูอาร์แอลอาจหมายถึง ที อยู่บนเว็บ หรือ ที อยู่อินเทอร์เน็ต ก็ได้ ซึ่งปกติแล้วเรามักพิมพ์ยูอาร์แอลในแถบที่อยู่ ของเว็บเบราว์เซอร์เพื่อเรียกข้อมูลจากเว็บไซต

          Domain names

                    คือ ชื่อเว็บไซต์ (www.yourdomain.com)ที)สามารถเป็นเจ้าของ ซึ่งจะต้องไม่ซํ ากับคนอื่น  เพื่อการเรียกหาเว็บไซต์ที่ต้องการ  “ชื่อเว็บไซต์”  คือ  สิ่งแรกที่แสดง  หรือ ประกาศความมีตัวตนบนอินเตอร์เน็ตให้คนทั่วไปได้รู้จัก  สามารถมีได้ชื่อเดียวในโลกเท่านั้ น  เช่น  www.gict.co.th เมื่อผู้ใช้กรอกชื่อลงไปในช่อง  Address ของ Internet Explorer ก็จะส่งชื่อไปร้องถามจากเครื่องแปลชื่อโดเมน  (Domain Name Server) และได้รับกลับมาเป็นไอพีแอดเดรส (Internet Protocol) แล้วส่งคําร้องไปให้กับเครื่องปลายทางตามไอพีแอดเดรส  และได้ข้อมูลกลับมาตามรูปแบบที่ร้องขอไป

          ข้อควรรู้ก่อนจดโดเมน

          • ความยาวของชื่อ Domainตั งได้ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
          • Domainต้องจดในชื่อของเราเท่านั น DomainOwnership
          • ถ้าเป็น Domainของบริษัท พยายามจดภายใต้ชื่อบริษัท อย่าจดด้วยชื่อพนักงาน IT
          • ข้อมูลที่สําคัญทีสุดของ Domainคือ Owner Detail
          • ใช้อีเมล์ที่จะอยู่ กับเราตลอดไปในการจดโดเมน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ติดต่อกับเราเรียกว่า Registrant E-mail
          • บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ Domainของเราไว้ให้ดี วันหมดอายุ ผู้ติดต่อ และอื่น ๆ

          วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

          Chapter1 : Introduction to E-Business and E-Commerce

          Introduction to E-Business and E-Commerce


          ความแตกต่างระหว่าง e-commerce กับ e-business

          • พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดําเนินธุรกิจ โดยใช์สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999)
          • พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือ การขนส่งผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช์สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998)
          • พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทําธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช์เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และครอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการ แลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล๊อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998)
          • พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย ทั้งในระดับองค์กร และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการประมวล และการส่งข้อมูลดิจิทัล ที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ (OECD,1997)
          • พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทําธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวล และการส่งข้อมูลที่มีข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขายสินค้า และบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์, การขนส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลในระบบออนไลน์, การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์, การจําหน่วยหุ่นทางอิเล็กทรอนิกส์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน, การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ, การขายตรง, การให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ใช้กับสินค้า (เช่น สินค้าบริโภค, อุปกรณ์ทางการแพทย์ และบริการ (เช่น บริการขายข้อมูล, บริการด้านการเงิน, บริการด้าน กฎหมาย) รวมทั้งกิจการทั่วไป (เช่น สาธารณสุข, การศึกษา, ศูนย์การค้าเสมือน (Virtual Mall) (European union,1997)

          สรุปได้ว่า e-commerce คือ

                    พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic commerce) คือ การทําธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในทุก ช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่
          ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม่แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทําเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนําสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจํากัดของระยะทาง และเวลาลงได้




          E-business คืออะไร

                    E-Business นั้น คือ การดําเนินกิจกรรมทาง “ธุรกิจ”ต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อทําให้กระบวนการทางธุรกิจ มีประสิทธิภาพ 
          และตอบสนองความต้องการของคู่ค้า และลูกค่าให้ตรงใจ และรวดเร็วและเพื่อลดต้นทุน และขยายโอกาสทางการค้า และการบริการ เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลจะมีคําศัพท์ที่ได้ยินบ่อยๆ อาทิ

          BI=Business Intelligence:

          การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และ คู่แข่งขัน

          EC=E-Commerce:

          เทคโนโลยีที่ช่วยทําให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต

          CRM=Customer Relationship Management:

          การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทําให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท – ระบบ CRM จะใช้ไอทีช่วยดําเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการ
          ลูกค้า

          SCM=Supply Chain Management:

          การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส้ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค

          ERP=Enterprise Resource Planning:

          กระบวนการของสํานักงานส่วนหลัง และ การผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อการจัดซื้อ การจัดการใบส่งของ การจัดสินค้าคงคลัง แผนและการจัดการการผลิต– ระบบ ERP จะช่วยให้ประบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน